สถานะ : จบแล้ว

วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล
บทที่ 2
เนื่องจากหมู่บ้านนัมกีมีเส้นทางลัดที่ทอดยาวไปยังเมืองหลวงโดยตรง ทำให้ขบวนทัพหลวงที่เจ็ดใช้เวลาเดินทางจากที่พักแรมในคืนแรกเมื่อเข้าเขตแคว้นฮานึลเพียงสามวันก็ถึงตลาดกลางก่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวง
ตั้งแต่ที่ออกจากโรงเตี้ยมเมื่อคืนก่อนนั้นได้มีการเตรียมรถม้าให้กับเชลยต่างแดนเพื่อการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็ว เพราะเส้นทางต่อจากนี้เริ่มมีชาวบ้านตามสองข้างทางเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการที่ขบวนทัพเป็นจุดสนใจนั้นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้วังชอนซาได้เปิดเผยตัว
...แน่นอน ไม่ใช่เพราะท่านแม่ทัพเห็นแก่ความสูงส่งในตัวเชลย หากแต่เพราะชาวบ้านรับรู้เพียงแค่การพาตัววังชอนซามาอย่างชอบธรรม ไม่ใช่การลักพาตัวมาอย่างที่เป็นอยู่นี้
ภายในเกี้ยวไม้ขนาดเพียงหกคนนั่ง ที่ด้านหนึ่งตรงข้ามกับม่านบังทางเข้า ร่างบอบบางนั่งกระสับกระส่ายไม่ติดที่ นัยน์ตาเรียวสวยเป็นประกายพราวสอดส่ายสายตาอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะมองพ้นช่องม่านหน้าต่างที่กระพือเข้าออกเพียงน้อยนิดตามแรงลมให้ได้เห็นความเป็นไปที่ด้านนอกสักนิดก็ยังดี
ข้อมือขาวทั้งสองข้างที่ถูกไพล่มัดไว้ด้านหลังเริ่มมีรอยแดงช้ำเมื่อเจ้าตัวบิดไปมาโดยตลอดตั้งแต่ออกเดินทาง เขี้ยวฟันซี่เล็กขบกัดลงบนก้อนผ้าที่ถูกยัดปิดปากเสียแน่นอย่างต้องการหาที่ระบายความเจ็บและความหงุดหงิด
“เครื่องแก้วเจียระไนแคว้นเมืองเหนือชั้นดี เร่เข้ามาๆ”
“ผ้าขนสัตว์จากพวกคนผิวขาวแผ่นดินไกล ราคาเพียงสิบสองเหรียญเท่านั้น สามชิ้นสุดท้าย!”
เสียงร้องเร่ของพ่อค้าคนกลางดังลอดเข้ามาให้คนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ในเกี้ยวไม้ได้ยินไม่ขาดสาย ซอนอินกระทืบเท้าขัดใจที่ไม่อาจออกไปเดินดูข้าวของพวกนั้นได้
...ทั้งที่ได้ออกจากวังมาทั้งที แต่กลับต้องมาถูกจับมัดอยู่แบบนี้นี่มัน!!!!...
“อื้อๆๆๆ!!”
เจ้าของร่างบางแถตัวไปด้านข้างแล้วใช้ปลายเท้าที่ถูกมัดรวบเตะใส่ผนังไม้แล้วส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเพื่อเรียกนายทหารที่ขี่ม้าขนาบข้างตัวรถอยู่ใกล้ๆ
แต่ไม่ว่าหงส์แสนงามจะพยายามเรียกร้องความสนใจอย่างไร ดูเหมือนว่าคำสั่งจากท่านแม่ทัพชองที่สั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดพูดคุยกับเชลยคนสำคัญจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ขัดไม่ได้
เจ้าคนบ้าอำนาจนั่น ไม่เห็นแก่ตำแหน่งองค์ชายของเขา ก็เห็นแก่คุณประโยชน์ที่บ้านเมืองกลับมาสงบสุขได้เพราะเขาไม่ได้หรือไงกัน!
ซอนอินไม่เคยคิดหรอกว่าตนเองจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไฟป่ามอดดับได้ภายในค่ำคืนเดียว อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไฟบ้านั่นมันดับไปเมื่อไหร่ จำได้แค่ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกจับมานั่งบนรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ซ้ำสองข้างทางที่ตัดผ่านก็ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องสรรเสริญวังชอนซาไม่ขาดไปตลอดเส้นทาง ถามไถ่เด็กหนุ่มที่เข้ามาคุมการทานข้าวของเขาถึงได้รู้ว่ามันเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้น
“วังชอนซา ทรงพิเศษจริงๆ นะขอรับ”
ได้ยินเด็กหนุ่มผู้นั้นพูด ซอนอินก็ปั้นหน้ารับคำได้ยากลำบากเสียจริง
พิเศษบ้าอะไรกัน เขาก็แค่องค์ชายอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!
แต่ช่างเถอะ การที่มีคนเห็นความสำคัญในตัวเชลยต่างแดนอย่างนี้มันก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย ซอนอินยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ถูกเด็กหนุ่มนายทหารคนนี้จ้องมองนั้นไม่มีความเกรงกลัวต่อฐานะหรือตำแหน่งใดๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย ผิดจากในเวลานี้ที่มีประกายตาฉายแววชื่นชมเสียเหลือเกิน “วังชอนซา ทรงหิวหรือยังขอรับ”
รู้สึกว่าล้อเกวียนหยุดลง ม่านทางเข้าถูกเลิกขึ้น ก่อนที่ร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มผิวขาวสว่างทั้งที่เป็นนายทหารออกศึกจะก้าวเข้ามานั่งที่ด้านใน
เมื่อเห็น ยูกึมซอง คนเพียงคนเดียวที่ซอนอินได้มีโอกาสพูดคุยด้วยตลอดการเดินทาง ใบหน้าเรียวสวยก็ฉายแววดีใจอย่างไม่ปิดบัง ทันทีที่ผ้าสีขาวที่ใช้ปิดปากถูกปลดออก เสียงหวานก็รีบเอ่ยทักคนตรงหน้า
“กึมซอง ทำไมเจ้ามาช้าอย่างนี้เล่า! ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว!!”
และไม่ลืมที่จะอ้อนขอเสียงหวาน “ข้างนอกนั่นคือตลาดใช่ไหม? เจ้าช่วยให้ข้าออกไปได้หรือไม่?”
กึมซองมองประกายตาสดใสขององค์วังชอนซาด้วยความชื่นชม นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยผิดบุรุษเพศแล้ว น้ำเสียงที่ใช้ หรือแม้จะเป็นบรรยากาศรอบกายของคนคนนี้ก็น่าดึงดูดสายตาไปเสียหมด อีกทั้งกิริยาคล้ายเด็กเล็กๆ อยากออกไปเที่ยวนี่อีกเล่าที่น่าดูไม่น้อย
แต่ถึงเด็กหนุ่มอยากจะช่วยตามคำร้องขอมากแค่ไหน ก็ทำไม่ได้หากท่านแม่ทัพไม่อนุญาตด้วยตัวเอง
“ขออภัยที่ข้าช่วยท่านไม่ได้ อีกเพียงไม่ถึงครึ่งวัน เราก็จะเข้าตัวเมืองหลวงแล้ว หากถึงที่นั่นเมื่อไหร่ ท่านแม่ทัพคงจะลดการคุมตัววังชอนซาแล้วล่ะขอรับ”
ซอนอินฮึดฮัดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง “ท่านแม่ทัพของเจ้าจะกลัวอะไรนักหนา มาถึงนี่แล้วยังคิดว่าข้าจะหนีไปไหนได้อีก บ้านเมืองรึก็ของพวกเจ้า ชาวบ้านก็ของพวกเจ้า ทหารพวกนี้ก็ของพวกเจ้า คิดหรือว่าข้าจะหนีพ้นสายตาท่านแม่ทัพของเจ้าได้”
และถึงแม้จะเข้าไปในเมืองหลวงแล้ว เจ้าคนบ้าอำนาจนั่นก็ไม่คิดจะปล่อยเขาลงจากรถนี่หรอก
งี่เง่าสิ้นดี!
เด็กหนุ่มไม่เอ่ยต่อประโยคของคนสวย เขาเพียงแต่ยิ้มบางพร้อมกับหันไปรับอาหารเที่ยงจากด้านนอกเข้ามาส่งต่อให้กับร่างบาง
กลิ่นหอมกรุ่นของไก่ย่างร้อนๆ ลอยแตะประสาทสัมผัสรับกลิ่นของคนภายในรถ อาการอยากอาหารเริ่มก่อตัวขึ้นจนแทบกลืนน้ำลาย แต่ซอนอินก็ไม่มีแก่ใจอยากจะทานสักเท่าไหร่เมื่อความหงุดหงิดนั้นมีมากกว่า
บ่อยครั้งที่ราชครูปาร์คยองจูเป็นต้องปวดหัวกับนิสัยอยากได้ต้องได้ของวังชอนซาคนงาม แต่ถึงแม้นิสัยเอาแต่ใจเล็กๆ นี้จะน่าปวดหัวสักเพียงไหน หากท่านราชครูลดหย่อนทำเป็นมองข้ามไปได้ก็จะทำ เพราะมันก็มีไม่มากนักหรอกที่นกในกรงทองอย่างองค์ชายซอนอินจะร้องขอ อิสระที่ถูกลิดรอน ยังจะมีเหลือสักกี่เรื่องกันล่ะที่จะทำได้
“ข้าไม่ทาน”
“แต่ท่านต้องทานนะขอรับ หมอจากึนกำชับนักว่าต้องให้วังชอนซาทานอาหารให้ถูกเวลา แล้วทานยาลดไข้”
“ข้าหายดีแล้ว”
“แต่...”
“บอกไม่ทานก็คือไม่ทานไม่เข้าใจหรือไง เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียว” จบคำด้วยการเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง พลางคิดว่าป่านนี้ที่เชินอันจะเป็นอย่างไรบ้าง ราชครูยองจูจะออกตามตัวเขาหรือยัง เสด็จพ่อและเสด็จแม่จะวิตกกังวลแค่ไหนที่ลูกชายของตนถูกลักพาตัวมาเช่นนี้
ไม่หรอก คำว่า ‘ลูกชาย’ คงเป็นฐานะที่ถูกลืมไปแล้ว หากจะมีใครเป็นห่วงเขา ก็คงจะเป็นเพราะตำแหน่งวังชอนซาที่สูงส่งนี่เสียมากกว่า
ซอนอินแทบไม่มีความทรงจำอันใดที่คนเป็นลูกมีต่อบุพการีอย่างใครคนอื่น ช่วงชีวิตหลายปีมานี้เขาต้องอยู่เพียงลำพังในตำหนักใน พบเจอผู้คนในวันสวดมนต์ประจำชนเผ่ามากมายแต่ก็ไม่มีใครที่ตนรู้จักอย่างแท้จริง วันหนึ่งๆ เจอหน้าราชครูยองจูมากกว่าเจอหน้าบิดามารดาเสียอีก
นึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วก็ทำให้แผ่นอกบางกระเพื่อมช้าลงอย่างถอนหายใจนึกสมเพชตัวเอง นัยน์เรียวสวยหรี่ลงขณะเอนศีรษะพิงกับผนังไม้
เป็นวังชอนซา เป็นเชลย ไม่ว่าจะอย่างไหนมันก็ไม่ต่างกันเลย ทำไมชีวิตของเขามันถึงได้หดหู่อย่างนี่นะ
“กึมซอง” ซอนอินเอ่ยเรียกชื่อคนที่กำลังจะออกจากตัวรถ
“ขอรับ?”
แก้วตาสวยยังคงหลุบต่ำอยู่เช่นเดิมขณะเอื้อนเอ่ยเสียงเบา “หากว่าข้าไม่ใช่คนพิเศษอย่างที่พวกเจ้าคิด ข้าจะเป็นอย่างไรในฐานะเชลยของฮานึล?”
แน่นอนอยู่แล้วว่าเชลยย่อมถูกคุมขังในคุกหลวง แต่สำหรับวังชอนซา หรือ คิมซอนอินบุตรชายองค์โตแห่งเชินอันผู้นี้ย่อมมีฐานะที่สูงเกินกว่าจะถูกคุมขังในที่แบบนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องการตัดสินก็ขึ้นอยู่กับท่านแม่ทัพชองเพียงผู้เดียว
“เรื่องนี้ มีเพียงท่านแม่ทัพชองเท่านั้นที่จะตอบท่านได้”
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วกว่าที่ขบวนทัพจะเคลื่อนตัวผ่านเข้าประตูเมืองหลวงในที่สุด แม้ตลอดทางจะมีเสียงชาวบ้านคอยตะโกนสรรเสริญวังชอนซาที่ซ่อนตัวอยู่เพียงในรถม้ามาตลอดทาง แต่ก็ไม่ได้มีพิธีอะไรมากนักนอกจากคำขอบคุณจากชาวบ้าน เนื่องจากว่าในเขตพื้นที่ที่โดนไฟป่านั้นห่างไกลจากตัวเมืองหลวงไปทางตะวันออกหลายลี้ ส่วนใหญ่ผู้คนที่ประสบภัยจริงๆ คือชาวบ้านที่ทำไร่การเกษตรเรียบแถบภูเขา แต่นั่นก็ส่งผลกระทบให้กับชาวบ้านทั่วทั้งแคว้นเมื่อแหล่งผลิตไม่อาจส่งสินค้าสู่ตลาดได้
บนท้องถนนที่ทอดยาวจากประตูเมืองหลวง ชาวบ้านมากมายรวมถึงข้าราชการหลวงทั้งหลายต่างพร้อมใจกันหลบอยู่ข้างเส้นทางพร้อมทั้งน้อมศีรษะให้กับร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีหิมะที่นำขบวนทัพอยู่ด้านหน้าสุด
แรงเบียดเสียดของผู้คนที่ต่างก็ถอยกรูดหาที่ทางนั่งคุกเขาอวยพรสรรเสริญให้กับองค์วังชอนซาและองค์ชายชองจีรยงนั้นทำให้ร่างเล็กๆที่เพิ่งเดินมาถึงจุดต้อนรับขบวนทัพเกือบจะหงายเซไปด้านหลังด้วยแรงกระแทกจากคนข้างหน้า
“คุณชายระวังค่ะ!”
สาวใช้นันโซตะโกนก้อง เธอพยายามเบียดผู้คนเพื่อเข้าไปให้ถึงตัวของผู้เป็นนายอย่างยากลำบาก “คุณชายฮีอู รอก่อนสิคะ ระวังเดินหลงเข้าไปในฝูงชนนะคะ!” ประโยคสุดท้ายพอดีกับที่เธอหลุดออกมาจากกลุ่มคนที่ยืนขวางได้สำเร็จ แต่ปรากฏว่าเจ้านายของเธอกลับหายไปจากที่เดิมแล้ว
แย่ล่ะ!
นางกำนัลสาววัยกำดัดแสดงสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที แล้วรีบหันซ้ายหันขวาออกตามหาคนตัวเล็ก
ห้ามก็แล้ว เตือนก็แล้ว แต่คุณชายของเธอก็ไม่คิดจะฟัง ยืนยันหนักแน่นว่าจะออกจากวังมารับองค์ชายใหญ่ด้วยตนเอง ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าถ้าเกิดองค์ชายใหญ่เห็นว่าคุณชายฮีอูออกมาอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายอย่างนี้จะทรงกริ้วแค่ไหน แล้วยังจะหายตัวไปแบบนี้อีก แย่แน่แล้วจางนันโซ! เธอแย่แน่ๆ!!
“โอ๊ะ~!”
ฮีอูหลุดเสียงหลงออกมาเมื่อพบว่าไหล่ด้านซ้ายถูกชนรุนแรงจนเสียหลักการทรงตัว เตรียมใจไว้แล้วว่าคงต้องหงายหลังล้มไม่เป็นท่าแน่ๆ กลับรู้สึกถึงวงแขนกว้างใหญ่ที่สอดเข้าใต้แผ่นหลังเสียก่อน แล้ววินาทีต่อมารอบเอวก็ถูกตวัดรัดเกี่ยวแน่นก่อนที่ร่างทั้งร่างจะลอยตามเจ้าของมือนั้นมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของมุมถนนที่ปลอดคน พอลืมตาขึ้นมอง ก็พบดวงตาเรียวคมดุจปลายกระบี่เงินจ้องตอบกลับมาจากด้านบน
อึก...
ไม่เคยรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างนี้มาก่อน ฮีอูทำได้เพียงนิ่งค้างจ้องสบนัยน์ตาลึกล้ำนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก กระแสอุ่นในอกไหลวนลามไปทั่วสรรพางกายจนรู้สึกได้
แม้แต่ริ้วรอยสีแดงบนใบหน้า เขาก็ยังรับรู้ได้โดยไม่ต้องส่องกระจก
“แม่นางเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
“มะ...ไม่ เราไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านมาก”
ขณะที่ขยับตัวผละออกจากชายหนุ่มร่างสูงด้วยความมึนงง อะไรบางอย่างก็แล่นฉิวเข้าสู่สมองการรับรู้ ใบหน้าเรียวเล็กรีบเงยขึ้นจ้องบุคคลตรงหน้าเตรียมอ้าปากจะแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับอีกฝ่าย
แม่นางอะไรกัน?! หรือเพราะเขาเอาชุดของนันโซมาใส่เพราะแอบนายทหารออกจากวังทำให้ชายคนนี้เข้าใจผิด?!
“แม่นางไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คราวหลังอย่ามายืนกลางฝูงชนอย่างนี้อีกล่ะ มันอันตราย เพราะถ้าล้มขึ้นมา ไม่พ้นได้โดนเหยียบแน่ ถือว่าครั้งนี้เป็นบทเรียนแล้วกัน ข้าขอตัวก่อน”
ยังไม่ทันจะได้อ้าปากอธิบาย หรือร้องเรียกถามชื่อ ร่างสูงสง่าในชุดสีขาวตัวยาว สวมด้วยหมวกสานทรงแหลมปกปิดใบหน้าไปกว่าครึ่งก็หายลับไปแทบจะในทันทีที่กระพริบเปลือกตา
“อ่ะ ตราหยก?” ร่างเล็กก้มลงเก็บแผ่นหยกที่ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นจะทำตกเอาไว้ นิ้วเรียวสวยไล้สัมผัสไปตามนูนต่ำของผิววัตถุ ฮีอูเพ่งสายตามองหาความหมายของตัวอักษรสองคำบนนั้น
‘ชิน ซอง’ ชื่อชนเผ่าที่อยู่ในแคว้นเชินอันอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ชายผู้นั้นก็ต้องเป็นคนของเชินอันน่ะสิ?
มาทำอะไรที่ฮานึลนะ...
“หรือว่าจะเกี่ยวกับ วังชอนซา....?”
“คุณชายฮีอู!!!” เสียงของกำนัลสาวตะโกนตัดความคิดของร่างเล็กฉับพลัน นันโซวิ่งกระหืดกระหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยมายืนตบอกหายใจเข้าออกลำบากต่อหน้าคนเป็นนาย
“คุณชายมาอยู่ตรงนี้เอง! ข้าตามหาท่านตั้งนาน ตอนนี้ขบวนทัพใกล้จะผ่านไปแล้วนะคะ!”
“อ่ะ จริงสิ รีบไปกันเถอะ!!” ฮีอูยัดตราหยกเก็บใส่กระเป๋าในอกเสื้อแล้วรีบฉุดแขนสาวใช้วิ่งกลับไปยังถนนเส้นเดิมด้วยความเร็ว
.
.
.
โอยยย ปวดหัว!
ริมฝีปากบางแดงสดเม้มแน่นเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์ การนั่งรถม้าเป็นเวลานานอย่างนี้มันทำให้เขามึนหัวไปหมด คนไม่เคยออกเดินทางนานๆ อย่างองค์ชายใหญ่แห่งเชินอันคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มันน่าคลื่นไส้มากแค่ไหน!
“เมื่อไหร่จะไปถึงเสียทีนะ” เสียงหวานโอดโอยครวญครางอยู่กับตัวเอง นึกดีใจที่เมื่อตอนกลางวันไม่ได้ทานอะไรลงไป ไม่อย่างนั้นในเวลานี้ได้อ้วกออกมาจนหมดแน่
มือบางคลำข้อมือตัวเองสลับไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บแสบจากการถูกเชือกมัด ตั้งแต่ผ่านประตูเมืองหลวงเข้ามา ก็มีคนมาปลดเชือกที่รัดไว้ที่ข้อมือและขา รวมถึงผ้าที่ใช้ปิดปากออก นี่คงเตรียมจะหลอกตาผู้คนสินะว่าไม่ได้ลักพาตัววังชอนซามา หึ! ชาวบ้านน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนในวังน่ะสิ อยากจะรู้นักว่าเจ้าคนหน้าตายนั่นจะปิดข้าราชการได้นานแค่ไหน
แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ จะอย่างไร ก่อนที่จะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ท่านราชครูยองจู รีบๆ มาช่วยข้าเร็วๆ เถิด!
ปึก!
“โอ้ย!~” ศีรษะกลมที่ปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีดำยาวสลวยกระแทกเข้ากับผนังไม้ด้านซ้ายเต็มแรงเนื่องจากจู่ๆ รถก็หยุดเคลื่อนตัวกะทันหัน
หยุดทำบ้าอะไรเนี่ย!
ขณะที่แอบเลิกม่านออกดู เสียงโห่ร้องยินดีที่มีต่อวังชอนซาก็กระแทกเข้าประสาทสัมผัสการรับฟังทันที ดวงตากลมโตกวาดมองผ่านเหล่าทหารบนหลังม้าสีน้ำตาลแดง ผ่านฝูงชนชาวบ้าน ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งด้านหน้าสุดของขบวนแถวที่ห่างจากรถม้าไปไม่ไกลมากนัก
ใบหน้าคมที่ซอนอินไม่เคยเห็นว่ามันจะเปลี่ยนไปแม้สักรอยย่นของผิวหนัง ในเวลานี้กลับแสดงออกถึงความอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาคมกร้าวที่ใช้จ้องมองเขาอย่างกับจะกลืนกินนั่นอีกเล่า ในตอนนี้กลับเปล่งประกายสดใสราวกับบุรุษหนุ่มนักปราชญ์ที่ชอบการท่องบทกลอนรักแว่วหวาน
มือหยาบที่เอาแต่จับดาบคาดคั้นให้เขาเชื่อฟัง กลับดูอบอุ่นยามที่โอบเอวของคนร่างเล็กคนนั้นขึ้นนั่งซ้อนบนหลังอาชาหิมะด้วยกัน
ทุกการเคลื่อนไหวที่ได้เห็น ทำเอาคนในเกี้ยวรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก ทุกอย่างที่ชายคนนั้นปฏิบัติต่อเขา ทำไมถึงได้ตรงกันข้ามชนิดที่ว่าสีดำเป็นสีขาวได้ขนาดนี้กัน
แม่นางคนนั้นคงจะเป็นคนที่พิเศษมากสินะ
“อะไรกัน คนใจดำบ้าอำนาจอย่างนั้น ยังมีคนที่ชอบด้วยหรือ สงสัยบ้านเมืองนี้คงป่าเถื่อนไม่ต่างจากเจ้าคนพรรค์นั้นสินะ”
แม้จะพูดบ่นพึมพำราวกับไม่ใช่เรื่องน่าใส่ใจ แต่ซอนอินกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นเอาแต่แอบมองคนทั้งสองบนหลังม้าสีขาวอยู่ตลอดจนเข้าสู่ประตูวัง
หรือแม้กระทั้งได้ลงมายืนอยู่ต่อหน้าขุนนางกว่าครึ่งค่อนวังที่ออกมารอรับ แววตาสีดำกลมโตก็ยังเหลือบมองรอยยิ้มของคนสองคนที่มีให้กันโดยตลอดจนกระทั้งฝ่ายคนที่ตัวสูงกว่าเดินกลับมายังกลุ่มคนด้านหน้า
“ยินดีต้อนรับกลับพระเจ้าค่ะ องค์ชายชองจีรยง”
“อืม พวกท่านไม่ต้องพิธีมากนักหรอก ตอนนี้ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
“องค์กษัตริย์ทรงรออยู่ที่ท้องพระโรงแล้วพระเจ้าค่ะ”
องค์ชายใหญ่แห่งฮานึลพยักหน้ารับ ก่อนหันไปสั่งผู้ติดตามคนสนิททั้งสองคนที่ตอนนี้ยืนอยู่คู่กัน
“โทซอง กึมซอง พวกเจ้าตามพวกนางกำนัลไปจัดการเรื่องตำหนักในให้กับวังชอนซา แล้วรออยู่ที่นั่น ข้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสร็จเมื่อไหร่แล้วจะตามไป จัดการให้เรียบร้อย”
“ขอรับ องค์ชายใหญ่”
ซอนอินมองสองพี่น้องฝาแฝดที่เอ่ยปากรับคำอย่างพร้อมเพรียง เอ๋? กึมซองมีพี่น้องฝาแฝดหรอกหรือนี่ แล้วสายตาแบบนั้น โธ่ เจ้ามันโง่จริงๆ เลยคิมซอนอิน คนที่ใช้สายตามองเขาอย่างไร้ความรู้สึกเกรงกลัวน่ะคือยูโทซองต่างหาก ไม่ใช่ยูกึมซอง
“เชิญขอรับ ตามหม่อมฉันมาทางนี้ องค์วังชอนซา”
จะให้เรียกว่าตามทั้งที่มีทหารล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่คิดว่ามันห่างไกลจากคำว่า ‘เชิญ’ ไปหน่อยหรือไง ซอนอินจิ๊เสียงในคอแต่ก็ยอมเดินตามสองพี่น้องไปอย่างไม่เอ่ยคำใดออกมา
ก็จะให้เอ่ยอะไรได้ มีแต่เรื่องที่น่าแปลกใจให้คิดตั้งขนาดนี้
เจ้าคนป่าเถื่อนนั่น ทำไมถึงกลายเป็นองค์ชายใหญ่ไปได้เล่า!
ซอนอินลอบถอนหายใจเบาขณะเดินลึกเข้าไปในเขตวังหลวงฮานึลมากขึ้นเรื่อยๆ พลางคิดในใจว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว
หวังว่าการสวดมนต์ทุกเดือนให้กับคนในชนเผ่า จะช่วยให้ลูกมีบุญรอดพ้นกลับไปยังเชินอันโดยไม่มีอะไรบุบสลายเถิด!
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
จบตอน